top of page

เลือกไฟอย่างไรให้เหมาะกับแต่ละห้อง? เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญด้านไลท์ติ้ง (Lighting Design)

  • รูปภาพนักเขียน: Sniper Writer
    Sniper Writer
  • 25 มิ.ย.
  • ยาว 1 นาที
Lighting Design

การเลือกไฟสำหรับบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของ “ความสว่าง” เท่านั้น แต่แสงยังส่งผลต่ออารมณ์ การใช้งาน และบรรยากาศของแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ Lighting Design หรือการออกแบบแสงไฟอย่างมืออาชีพเข้ามามีบทบาทสำคัญในงานตกแต่งบ้านยุคใหม่

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ เคล็ดลับการเลือกไฟให้เหมาะกับแต่ละห้อง โดยอิงจากหลักการของนักออกแบบแสงมืออาชีพ เพื่อให้ทุกมุมของบ้านสว่างอย่างมีสไตล์และประโยชน์สูงสุด


ห้องนั่งเล่น:  บรรยากาศที่ปรับได้ตามกิจกรรม

Lighting Living Room

ห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ใช้พักผ่อน ต้อนรับแขก หรือแม้กระทั่งดูหนัง ดังนั้นการออกแบบแสงควร “ปรับเปลี่ยนได้” ตามสถานการณ์

  • ใช้ ไฟ Warm White (2700K–3000K) เพื่อสร้างบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย (ทั้งนี้ ค่า K ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงและความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย)

  • ควรมีไฟหลัก เช่น โคมไฟฝังฝ้า หรือ โคมเพดานแบบกระจายแสง

  • เสริมด้วย โคมไฟตั้งพื้น หรือ ไฟซ่อน (Indirect Light) สำหรับเพิ่มบรรยากาศในช่วงค่ำ

  • ควรใช้ Dimmer เพื่อปรับระดับแสงให้เหมาะสมกับกิจกรรมแต่ละแบบ

 Lighting Design ในห้องนั่งเล่นควรมีความยืดหยุ่น และสามารถควบคุมอารมณ์ของพื้นที่ได้


ห้องนอน: แสงที่ช่วยผ่อนคลายและนอนหลับง่าย

Lighting Bedroom

สำหรับห้องนอน ซึ่งเป็นพื้นที่ของการพักผ่อนอย่างแท้จริง แสงสว่างควรนุ่มนวล ไม่รบกวนการนอน

  • ใช้ไฟโทน Warm White (2700K) เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายและอบอุ่น (ทั้งนี้ ค่า K ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงและความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย)

  • หลีกเลี่ยงไฟสีขาวจ้า (Cool White หรือ Daylight) เพราะอาจไปรบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ทำให้นอนหลับยาก

  • ติดตั้งไฟหัวเตียงแบบแยกสวิตช์หรือใช้โคมไฟตั้งโต๊ะสำหรับการอ่านหนังสือ

  • เสริมด้วย ไฟทางเดินแบบ Soft Light หากต้องการลุกไปเข้าห้องน้ำในเวลากลางคืน

 Lighting Design ที่ดีในห้องนอนช่วยเสริมสุขภาพการนอนและบรรยากาศที่ปลอดภัย


ห้องครัว: ความชัดเจน ปลอดภัย และใช้งานได้จริง

Lighting Kitchen

ห้องครัวต้องการแสงที่ “สว่างชัด” เพื่อให้เห็นวัตถุดิบและทำอาหารได้อย่างปลอดภัย

  • ใช้ไฟโทน Daylight (5000K–6500K) เพื่อความชัดเจนของสีและรายละเอียด (ทั้งนี้ ค่า K ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงและความรู้สึกของผู้อยู่อาศัย)

  • ติดตั้งไฟ ใต้ตู้ครัว (Under Cabinet Lighting) เพื่อส่องตรงพื้นที่เตรียมอาหาร ลดเงาบดบัง

  • ใช้โคมไฟติดเพดาน หรือรางไฟสำหรับพื้นที่ทำอาหารและล้างจาน

  • หากมีโต๊ะรับประทานอาหารในครัว อาจเพิ่ม Pendant Light เพื่อสร้างบรรยากาศ

 Lighting ในห้องครัวควรคำนึงถึงฟังก์ชันและความปลอดภัยเป็นหลัก

การเลือกแสงไฟให้เหมาะสมกับแต่ละห้อง ไม่เพียงเพิ่มความสวยงาม แต่ยังช่วยให้บ้านน่าอยู่ ใช้งานได้จริง และส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบแสง หรือ Lighting Design ที่ดี

หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม หรือเลือกซื้อโซลูชันแสงไฟที่ตอบโจทย์พื้นที่ของคุณ


 แวะชมสินค้าและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้ที่ www.lightingsolution.co.th

bottom of page